หลักการผลิตสารคดี
มีหลักเดียวเท่านั้น คือ " ทำอย่างไรที่จะให้คนดูงานสารคดีเรื่องที่เราผลิต
ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ลุกหนีไปไหน หรือกดเปลี่ยนช่อง "
ซึ่งการถ่านสารคดีนั้นมีภาพนำเสนออยู่
6 ภาพ ด้วยกันคือ ชนิดของภาพแบบที่....
1. ภาพตัวพิธีกร หรือผู้ดำเนินรายการ จะเดี่ยวคู่ เป็นดารา อาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นใครก็ได้คอยถามสิ่งที่คิดว่าคนทั่วไปอยากรู้ คอยเปิดประเด็นเพิ่ม คอยสรุปและดึงเนื้อหาในเรื่องออกมาให้คนดูรู้เรื่องให้ได้ (ไม่ให้หลุดคอนเซ็ป) พูดง่ายๆก็คือ ทำหน้าที่แทนคนดูทางบ้าน (ตัวพิธีกรก็คือตัวแทนของกลุ่มคนดู เช่น รายการวัยรุ่นพิธีกรก็ต้องวัยรุ่นด้วย)
2. ภาพผู้ถูกสัมภาษณ์ หรือผู้เล่าเรื่องราว มีหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่จะนำเสนอให้คนที่ไม่รู้ได้รู้จริง (ให้ได้รับข้อมูลถูกต้อง) และให้คนที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจ (ไม่สับสน) ด้วยบางครั้งผู้เล่ามีความรู้มากมาย จึงเล่าสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก พิธีกรจะต้องคอยตะล่อมให้เข้าสู่เนื้อหาที่ตรงประเด็น หรือ ถ้าผู้เล่าอธิบายไม่ละเอียด ข้ามไปมา พิธีกรก็จะต้องคอยสรุปถามให้แน่ชัดว่า สิ่งที่เราเข้าใจคือสิ่งที่ผู้เล่ากำลังพูดถึงใช่หรือไม่...
3. ภาพตัวพิธีกรและภาพผู้เล่าเรื่องราว ทั้ง 2 คนอยู่ในภาพเดียวกัน ( ต่างกันกับแบบ 1 ที่มีพิธีกรคนเดียวและแบบ 2 มีตัวผู้เล่าเรื่องราวคนเดียว )
4. ภาพในเนื้อหาแต่ใช้เสียงคนประกอบ เสียงที่ใช้อาจเป็นเสียงพิธีกร หรือเสียงผู้เล่าเรื่องราว ถ้าบางครั้งผู้เล่าเรื่องราวมีเวลาให้เราน้อย เราสามารถเปลี่ยนเสียงเป็นคนบรรยายอื่นก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย เช่น ผู้เล่าเรื่องราวเป็นชาย ช่วงอธิบายอาจเป็นเสียงผู้หญิง...
5. ภาพในเนื้อหาแต่ใช้เสียงเพลงประกอบไปกับภาพ ภาพสนุกตื่นเต้นก็ใช้เพลงตื่นเต้น เพลงประกอบ จะช่วยเสริมให้เนื้อเรื่องในสารคดีน่าสนใจมากขึ้น (จริงๆ แล้ว ภาพ 4 - ภาพ 5 ก็คือภาพเดียวกัน แต่แบ่งแยกออกมาเพื่อให้ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น)
6. นำภาพทั้งหมด ตั้งแต่ภาพแบบที่ 1-ภาพแบบที่ 5 นำมารวมกันอยู่ในเฟรมเดียวกัน เช่น ภาพตัวพิธีกรกับภาพเหตุการณ์ที่คนกำลังทำงานอยู่ในเฟรมเดียวกันหรือภาพผู้เล่ากับภาพเหตุการณ์อยู่ในเฟรมเดียวกัน อาจแบ่งภาพเป็น 2 - 3 - 4 ช่องในเฟรมเดียวกัน ก็ได้
1. ภาพตัวพิธีกร หรือผู้ดำเนินรายการ จะเดี่ยวคู่ เป็นดารา อาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ จะเป็นใครก็ได้คอยถามสิ่งที่คิดว่าคนทั่วไปอยากรู้ คอยเปิดประเด็นเพิ่ม คอยสรุปและดึงเนื้อหาในเรื่องออกมาให้คนดูรู้เรื่องให้ได้ (ไม่ให้หลุดคอนเซ็ป) พูดง่ายๆก็คือ ทำหน้าที่แทนคนดูทางบ้าน (ตัวพิธีกรก็คือตัวแทนของกลุ่มคนดู เช่น รายการวัยรุ่นพิธีกรก็ต้องวัยรุ่นด้วย)
2. ภาพผู้ถูกสัมภาษณ์ หรือผู้เล่าเรื่องราว มีหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่จะนำเสนอให้คนที่ไม่รู้ได้รู้จริง (ให้ได้รับข้อมูลถูกต้อง) และให้คนที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจ (ไม่สับสน) ด้วยบางครั้งผู้เล่ามีความรู้มากมาย จึงเล่าสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก พิธีกรจะต้องคอยตะล่อมให้เข้าสู่เนื้อหาที่ตรงประเด็น หรือ ถ้าผู้เล่าอธิบายไม่ละเอียด ข้ามไปมา พิธีกรก็จะต้องคอยสรุปถามให้แน่ชัดว่า สิ่งที่เราเข้าใจคือสิ่งที่ผู้เล่ากำลังพูดถึงใช่หรือไม่...
3. ภาพตัวพิธีกรและภาพผู้เล่าเรื่องราว ทั้ง 2 คนอยู่ในภาพเดียวกัน ( ต่างกันกับแบบ 1 ที่มีพิธีกรคนเดียวและแบบ 2 มีตัวผู้เล่าเรื่องราวคนเดียว )
4. ภาพในเนื้อหาแต่ใช้เสียงคนประกอบ เสียงที่ใช้อาจเป็นเสียงพิธีกร หรือเสียงผู้เล่าเรื่องราว ถ้าบางครั้งผู้เล่าเรื่องราวมีเวลาให้เราน้อย เราสามารถเปลี่ยนเสียงเป็นคนบรรยายอื่นก็ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย เช่น ผู้เล่าเรื่องราวเป็นชาย ช่วงอธิบายอาจเป็นเสียงผู้หญิง...
5. ภาพในเนื้อหาแต่ใช้เสียงเพลงประกอบไปกับภาพ ภาพสนุกตื่นเต้นก็ใช้เพลงตื่นเต้น เพลงประกอบ จะช่วยเสริมให้เนื้อเรื่องในสารคดีน่าสนใจมากขึ้น (จริงๆ แล้ว ภาพ 4 - ภาพ 5 ก็คือภาพเดียวกัน แต่แบ่งแยกออกมาเพื่อให้ได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น)
6. นำภาพทั้งหมด ตั้งแต่ภาพแบบที่ 1-ภาพแบบที่ 5 นำมารวมกันอยู่ในเฟรมเดียวกัน เช่น ภาพตัวพิธีกรกับภาพเหตุการณ์ที่คนกำลังทำงานอยู่ในเฟรมเดียวกันหรือภาพผู้เล่ากับภาพเหตุการณ์อยู่ในเฟรมเดียวกัน อาจแบ่งภาพเป็น 2 - 3 - 4 ช่องในเฟรมเดียวกัน ก็ได้
ภาพในการทำสารคดีมีอยู่ 6 แบบเท่านั้น หน้าที่ของคนทำคือ ผสม 6 ภาพนี้ให้เข้ากันอย่างลงตัวและน่าสนใจ เช่น
พิธีกรคนเดียว - แนะนำผู้เล่าเห็นหน้าท้ง 2 คน - เห็นหน้าผู้เล่าคนเดียว - ใช้ภาพผสมเสียงผู้เล่า - หน้าผู้เล่า - ภาพมีเสียงเพลง - ภาพพิธีกรและผู้เล่า ฯลฯ ไม่ใช่ให้พิธีกรพูดมากเกินกว่าผู้เล่า , หรือให้ผู้เล่าอธิบายจนน่าเบื่อ , หรือใส่ภาพผสมเสียงพูดนานจนลืมพิธีกร ฯลฯ
...ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า " ......ไม่ว่าคุณจะผลิตงานสารคดีให้ออกมาดีแค่ไหน , ลงทุนมากแค่ไหน , หรืองานดีเลิศประเสริฐศรีสุดปฐพี เท่าที่มีคนทำมา
.......ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าคนไม่ดู ( เบื่อแล้วกดช่องหนี ) ...สู้อยู่เฉยๆ ไม่ทำเลยจะดีกว่า "..... ยกเว้น สารคดีที่จ้างผลิตโดยเฉพาะ ไม่เข้าข่ายคำพูดนี้...
เช่น สารคดีเชิงวิชาการ , สารคดีที่ต้องใช้ข้อมูลจริง , สารคดีการสอน ฯลฯ เหล่านี้แม้จะเบื่อน่าหลับแค่ไหน ก็ต้องทนดู เพราะถ้าเราเสริมเทคนิคใดๆ
มากเกินความจำเป็น อาจทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือ เกิดความเข้าใจผิดในเนื้อหาได้....
** เคล็ดลับที่เสริมงานสารคดีให้คนดูน่าติดตาม **
- อย่าใส่เพลงประกอบในขณะสัมภาษณ์ผู้เล่าเรื่อง เพราะจะทำให้เนื้อเรื่องที่ผู้เล่าอยู่ขาดความน่าเชื่อถือ และอีกอย่างเสียงสัมภาษณ์นอกสถานที่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง
อยู่แล้ว ใส่เพลงเข้าไปอีกก็ยิ่งพาลทำให้งานเละไปกันใหญ่ ( ใส่เพลงควรใช้แบบ 5 เท่านั้น ) แต่ถ้าจำเป็นต้องใส่ ไม่ควรให้เพลงไปกลบเสียงผู้สัมภาษณ์…
- ใช้เอฟเฟคในการตัดต่อเพิ่มความน่าสนใจ เช่น ฟาสสปีด หรือสโลว์ภาพ ถอยไปมา กัดสี ตัดเร็วเข้าจังหวะเพลง
- ใช้บทเป็นตัวนำ เหมือนสารคดีพี่โจ๋ยบางจาก ที่เล่นคำกับบท ช่วงนั้นใครๆก็ติดกันงอมแงม แต่มา ณ วันนี้ คนกลับชอบรายการ " คนค้นฅน" ที่นำเสนอแบบไม่ต้องมาเสียเวลากับพร่ำพรรณาบท ชีวิตเป็นอย่างไรก็นำเสนอแบบนั้น ให้คนดูติดตามและคิดกันเอง
- ใช้เพลงผสมเหมือนสารคดีเพลง ค่ายเพลงต่างๆชอบใช้ ให้ดาราพาเที่ยวทำนองนี้
พิธีกรคนเดียว - แนะนำผู้เล่าเห็นหน้าท้ง 2 คน - เห็นหน้าผู้เล่าคนเดียว - ใช้ภาพผสมเสียงผู้เล่า - หน้าผู้เล่า - ภาพมีเสียงเพลง - ภาพพิธีกรและผู้เล่า ฯลฯ ไม่ใช่ให้พิธีกรพูดมากเกินกว่าผู้เล่า , หรือให้ผู้เล่าอธิบายจนน่าเบื่อ , หรือใส่ภาพผสมเสียงพูดนานจนลืมพิธีกร ฯลฯ
...ท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า " ......ไม่ว่าคุณจะผลิตงานสารคดีให้ออกมาดีแค่ไหน , ลงทุนมากแค่ไหน , หรืองานดีเลิศประเสริฐศรีสุดปฐพี เท่าที่มีคนทำมา
.......ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าคนไม่ดู ( เบื่อแล้วกดช่องหนี ) ...สู้อยู่เฉยๆ ไม่ทำเลยจะดีกว่า "..... ยกเว้น สารคดีที่จ้างผลิตโดยเฉพาะ ไม่เข้าข่ายคำพูดนี้...
เช่น สารคดีเชิงวิชาการ , สารคดีที่ต้องใช้ข้อมูลจริง , สารคดีการสอน ฯลฯ เหล่านี้แม้จะเบื่อน่าหลับแค่ไหน ก็ต้องทนดู เพราะถ้าเราเสริมเทคนิคใดๆ
มากเกินความจำเป็น อาจทำให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือ เกิดความเข้าใจผิดในเนื้อหาได้....
** เคล็ดลับที่เสริมงานสารคดีให้คนดูน่าติดตาม **
- อย่าใส่เพลงประกอบในขณะสัมภาษณ์ผู้เล่าเรื่อง เพราะจะทำให้เนื้อเรื่องที่ผู้เล่าอยู่ขาดความน่าเชื่อถือ และอีกอย่างเสียงสัมภาษณ์นอกสถานที่ก็ฟังไม่รู้เรื่อง
อยู่แล้ว ใส่เพลงเข้าไปอีกก็ยิ่งพาลทำให้งานเละไปกันใหญ่ ( ใส่เพลงควรใช้แบบ 5 เท่านั้น ) แต่ถ้าจำเป็นต้องใส่ ไม่ควรให้เพลงไปกลบเสียงผู้สัมภาษณ์…
- ใช้เอฟเฟคในการตัดต่อเพิ่มความน่าสนใจ เช่น ฟาสสปีด หรือสโลว์ภาพ ถอยไปมา กัดสี ตัดเร็วเข้าจังหวะเพลง
- ใช้บทเป็นตัวนำ เหมือนสารคดีพี่โจ๋ยบางจาก ที่เล่นคำกับบท ช่วงนั้นใครๆก็ติดกันงอมแงม แต่มา ณ วันนี้ คนกลับชอบรายการ " คนค้นฅน" ที่นำเสนอแบบไม่ต้องมาเสียเวลากับพร่ำพรรณาบท ชีวิตเป็นอย่างไรก็นำเสนอแบบนั้น ให้คนดูติดตามและคิดกันเอง
- ใช้เพลงผสมเหมือนสารคดีเพลง ค่ายเพลงต่างๆชอบใช้ ให้ดาราพาเที่ยวทำนองนี้
- ทำเป็นละครผสมสารคดี ชีวิตจริง ข้อดีคนดูชอบ
ข้อเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม อาจเกินงบที่มี
- ใช้ความตลกเข้าผสม ต่อมุขเสริมมุข ระหว่างพิธีกรกับผู้เล่าเรื่อง เอาฮาเป็นหลัก เนื้อหาเป็นรอง สนุกจนคนลืมเปลี่ยนช่อง ( รายการวัยรุ่น )
- ใช้พิธีกรเข้าร่วมทำกิจกรรม หรือทำเป็นเกมส์แข่งกับผู้เล่นที่รับเชิญ สำหรับรายการที่มีเวลามาก ก็จะทำกิจกรรมเสริมแทนผู้ชมทางบ้าน
- กำลังฮิต สารคดีแบบถามตอบ ตั้งแต่รู้สู้ฟลัดทำปลาวาฬออกมาดังจนหลายบริษัทค้อนควับๆ คือ รูปแบบถามเองตอบเอง ทำไมน้ำถึงท่วมและเราจะมีวิธีการสู้กับน้ำอย่างไร เริ่มต้นวิธีนี้ฯลฯ กระชับมีแต่เนื้อหาล้วนๆ
ที่มา : http://p0p-it.blogspot.com/2012/08/blog-post_3990.html
- ใช้ความตลกเข้าผสม ต่อมุขเสริมมุข ระหว่างพิธีกรกับผู้เล่าเรื่อง เอาฮาเป็นหลัก เนื้อหาเป็นรอง สนุกจนคนลืมเปลี่ยนช่อง ( รายการวัยรุ่น )
- ใช้พิธีกรเข้าร่วมทำกิจกรรม หรือทำเป็นเกมส์แข่งกับผู้เล่นที่รับเชิญ สำหรับรายการที่มีเวลามาก ก็จะทำกิจกรรมเสริมแทนผู้ชมทางบ้าน
- กำลังฮิต สารคดีแบบถามตอบ ตั้งแต่รู้สู้ฟลัดทำปลาวาฬออกมาดังจนหลายบริษัทค้อนควับๆ คือ รูปแบบถามเองตอบเอง ทำไมน้ำถึงท่วมและเราจะมีวิธีการสู้กับน้ำอย่างไร เริ่มต้นวิธีนี้ฯลฯ กระชับมีแต่เนื้อหาล้วนๆ
ที่มา : http://p0p-it.blogspot.com/2012/08/blog-post_3990.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น